วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กระบอกไฮดรอลิครั่วบ่อย เป็นเพราะอะไร?



สาเหตุสำคัญ 4 ประการที่ทำให้อายุการใช้งานของซีลกระบอกสั้นลง


เจ้าของเครื่องจักรไฮดรอลิคส่วนใหญ่ มักจะต้องเคยเสียเงินให้กับการซ่อม-เปลี่ยนซีลกระบอกไฮดรอลิค นานๆเปลี่ยนทีก็ยังพอทน บางท่านเปลี่ยนทุก 2-3 เดือน ชักทนไม่ไหว เลยเลือกวิธีซื้อซีลถูกๆมาใส่ หารู้ไม่ว่าซีลที่ไม่เหมาะสมนั้นเป็นเหตุให้เสียเงินเป็นจำนวนมาก เมื่อคิดเวลาหยุดเครื่องจักร (DOWNTIMES) และความเสียหายของสินค้าที่อยู่ในระหว่างการผลิต  ดังนั้นถ้าคุณมีปัญหาเกี่ยวกับซีล ให้โฟกัสไปที่สาเหตุหลักๆ 4 ประการดังนี้.-


ประการที่ 1... เกิดการชำรุดขณะประกอบกระบอก สิ่งสำคัญที่ควรใส่ใจเป็นพิเศษขณะประกอบกระบอกก็คือ
      -การรักษาความสะอาด
      -เก็บวางซีลไว้ให้ดี อย่าให้มีรอยขาดหรือแหว่ง
      -อย่าลืมใส่สารหล่อลื่นขณะประกอบ

ข้อผิดพลาดอื่นๆก็มี เช่น ร่องซีลแน่นเกินไป, ปากซีล (SEAL LIP)เกิดการพับขณะประกอบ หรือใส่ซีลกลับด้านก็เกิดขึ้นได้ ทางแก้ปัญหาเหล่านี้คือเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น


ประการที่ 2... ระบบไฮดรอลิคมีสารปนเปื้อน ภายในมักเกิดจากการสึกหรอของอุปกรณ์อื่นๆในระบบ หรือการสลายตัวของสารเพิ่มประสิทธิภาพในน้ำมัน ส่วนภายนอกเกิดจากสภาพแวดล้อมขณะทำงาน เช่น ฝุ่น, ทราย, โคลน เป็นต้น ซึ่งเศษวัสดุเหล่านี้จะเข้ามาในกระบอกขณะดึงกระบอกกลับ (RETRACT) ทางแก้ที่ดีทีสุดคือใส่ WIPER SEAL หรือ ROD SCRAPPER สำหรับป้องกันสารปนเปื้อนภายนอก ส่วนภายในให้แก้ไขด้วยการกรองน้ำมันไฮดรอลิค ข้อสังเกตการรั่วซึมที่เกิดจากมีสารปนเปื้อนในระบบไฮดรอลิค ก็คือจะมีรอยขูดขีดที่แกนกระบอกและเสื้อกระบอก บางครั้งอาจพบเศษวัสดุเล็กๆติดอยู่ที่ซีลอีกด้วย


ประการที่ 3... การสูญเสียคุณสมบัติทางเคมีของซีลเอง ซึ่งพบได้เสมอ สาเหตุเกิดจากการเลือกใช้ซีลผิดประเภทมาตั้งแต่ต้น หรือมีการเปลี่ยนชนิดของน้ำมันไฮดรอลิคในตอนหลัง บางครั้งสารเพิ่มประสิทธิภาพในน้ำมันไฮดรอลิคก็ทำปฏิกิริยา HYDROLYSIS หรือ OXIDATION กับเนื้อซีล ข้อสังเกตก็คือ ปากซีลจะหายไป, ซีลนิ่มลงหรือแข็งขึ้น, ซีลเกิดการหดพอง, หรือสีของซีลที่เปลี่ยนไปก็พอจะบอกได้ว่ามีการสูญเสียคุณสมบัติทางเคมีของซีล


ประการที่ 4... ความร้อนสูงก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณา เมื่อซีลที่ชำรุดมีอาการแข็ง หรือเปราะแตกร่อน มีเศษชิ้นส่วนแตกหัก สาเหตุสำคัญได้แก่ความร้อนที่เกิดจากแรงเสียดทานจลน์ เนื่องจากมีระยะระหว่างซีลกับกระบอก (CLEARANCE)น้อยเกินไป  หรือกระบอกอยู่ใกล้กับแหล่งความร้อนภายนอก ทางแก้ก็มีเช่น เลือกซีลที่มีระยะ CLEARANCE เพิ่มขึ้น, เพิ่มสารหล่อลื่นในน้ำมันไฮดรอลิค, หรือเปลี่ยนไปใช้ซีลทนความร้อนสูง เป็นต้น





******************************************** Add New Articles in 2011

การหาซื้อปั๊มหรือมอเตอร์ไฮดรอลิคยี่ห้ออื่นทดแทน


หนึ่งในสมาชิกของเราได้ส่งข้อความเข้ามาสอบถามว่า...

"ผมต้องการเปลี่ยนปั๊มและมอเตอร์ของรถขุด โดยซื้อตรงจากบริษัทที่ขายอุปกรณ์ไฮดรอลิค ไม่ได้ซื้อจากตัวแทนจำหน่ายรถขุด มีคำแนะนำไหมครับ? แล้วผมจะทราบได้อย่างไรว่าอุปกรณ์ที่เปลี่ยนจะใช้งานได้เหมือนของเดิม"

แน่นอนครับว่า การหาซื้ออุปกรณ์ไฮดรอลิคจากผู้ขายโดยตรงย่อมได้ราคาถูกกว่าซื้อจาก
บริษัทผู้ผลิตเครื่องจักร แต่มันอาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด เนื่องจากโดยปรกติทาง OEM's (Original Equipment Manufacturers ) มักจะทำทุกทางรักษาผลประโยชน์ในการขายอะไหล่ของเครื่องจักรที่สร้างขึ้น มาตรการอย่างแรกก็คือ การตั้งหมายเลขชิ้นส่วน หรือ Part Number ให้แตกต่างกับ Part Number ของผู้ผลิตอุปกรณ์ เพื่อให้ยากต่อการเทียบสเปค ดังนั้นสิ่งแรกที่คุณต้องทราบก็คือยี่ห้อและรุ่นของอุปกรณ์ที่ต้องการเปลี่ยน ถ้าคุณรู้จักช่างหรือเจ้าของเครื่องจักรที่เหมือนกับของคุณ และเคยเปลี่ยนอุปกรณ์มาแล้วก็อาจจะลองสอบถามดู ส่วนใหญ่คงยินดีที่จะบอก แต่ถ้าคุณไม่รู้จักหรือต้องการค้นหาด้วยตัวเอง คุณก็ต้องทำการวัดและระบุขนาด ภายนอกเบื้องต้น เช่น เพลาเป็นแบบลิ่มหรือเฟือง มีฟันกี่ฟัน เส้นผ่านศูนย์กลางเท่าไหร่, หน้าแปลนเป็นแบบไหน, พอร์ทน้ำมันเท่าไหร่ เป็นต้น แล้วนำไปเทียบกับแคตาล็อคของอุปกรณ์นั้นๆ ฟังดูง่ายนะครับ แต่ถ้าคุณไม่รู้ว่าอุปกรณ์ของคุณยี่ห้ออะไรก็คงยุ่งยากพอสมควรเลยทีเดียว ขั้นตอนนี้ให้ผู้ขายอุปกรณ์ไฮดรอลิคเทียบให้น่าจะง่ายกว่า

*** การล๊อคสเปค (OEM Specials)
เป็นมาตรการถัดมาที่ OEM's นำมาใช้เพื่อรักษาตลาดของตน ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถหาอะไหล่ชิ้นส่วนจากที่อื่นได้ ซึ่งมีตั้งแต่แบบที่มองเห็นได้ชัดเจน เช่นการสร้างเพลา หรือหน้าแปลนขึ้นเองโดยไม่อิงกับมาตรฐานทั่วไป หรือแบบที่สังเกตภายนอกไม่ออก เช่นการตั้งค่าควบคุมของปั๊มให้ผิดไปจากเดิม มีตัวอย่างที่เคยเจอมาก็คือ ปั๊มลูกสูบที่ปรับค่าได้ ที่ลักษณะภายนอกสามารถเปลี่ยนปั๊มใส่ได้อย่างถูกต้องตรงกันทุกอย่าง แต่เมื่อเดิน
เครื่องยนต์กลับไม่สามารถทำงานได้อย่างเดิม เหตุผลก็คือปั๊มมาตรฐานที่เอามาเปลี่ยนแทนนั้น ใช้แรงดันเพื่อปรับอัตราการไหลที่ 10 บาร์ ขณะที่ปั๊มของ OEM ใช้แรงดันควบคุมที่ 35 บาร์ เมื่อติดตั้งตัวใหม่แทนเข้าไป ระบบไฟฟ้าควบคุมจะไม่สามารถปรับอัตราการไหลได้ ทำให้เกิดการดึงกำลังเครื่องยนต์อย่างมาก
สรุปว่า ในการเปลี่ยนอะไหล่ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นด้วยอุปกรณ์ทดแทนนั้น เราต้องทำความเข้าใจก่อน โดยเฉพาะชิ้นส่วนหลักๆ ที่มีความสำคัญ บางครั้งการเปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์ทดแทนแล้วต้องดัดแปลง แก้ไขเพิ่มเติมในส่วนอื่น อาจไม่ได้เป็นการลดต้นทุนอย่างที่ต้องการ


------------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามต่อ : ความดันเพิ่มในระบบไฮดรอลิค
มีวิธีอะไรที่สามารถทดสอบซีลลูกสูบของกระบอกไฮดรอลิคว่ารั่วซึมหรือไม่?
------------------------------------------------------------------------------------------

ระบบไฮดรอลิคที่คุณไม่ต้องการ !!!


หนึ่งในสมาชิกของเราได้ส่งข้อความเข้ามาสอบถามว่า...

" ชุดต้นกำลังไฮดรอลิคของผมประกอบด้วย เครื่องยนต์ดีเซลสี่สูบ 86 แรงม้า ยี่ห้อ"คูโบต้า" ต่อกับเกียร์ปั๊มขนาด 40 แกลลอนต่อนาที โดยใช้วาล์วแบ่งน้ำมันเป็นสองวงจร วงจรละ 20 แกลลอนต่อนาที  พร้อมทั้งวาล์วควบคุมอัตราไหลแยกแต่ละวงจร ตั้งแรงดันที่รีลิฟวาล์วไว้ที่ 3000 PSI ซึ่งสามารถใช้งานได้ ตัววาล์วแบ่งน้ำมันราคาสูงไปสักหน่อย ส่วนวาล์วควบคุมอัตราไหลก็ไม่แพงมาก โดยรวมแล้วถูกกว่าปั๊มลูกสูบอยู่พอสมควร แต่ปัญหาก็คือเกิดความร้อนสูงขึ้นในระบบ เนื่องจากน้ำมันต้องไหลผ่านวาล์วควบคุมอัตราไหลแบบ cartridge และ มีน้ำมันบางส่วนไหลผ่านรีลิฟวาล์วกลับถังตลอดเวลาในการทำงานปกติ...ปัญหาใหญ่ของผมคือ ไม่สามารถลดความร้อนของระบบให้อยู่ในช่วงทำงานได้ เคยติดตั้งออยล์คูลเลอร์แบบใช้น้ำกับพัดลมมอเตอร์ไฟฟ้า 12 VDC. ก็ไม่ได้ผล อยากจะลองใช้มอเตอร์ไฮดรอลิคก็แพงไปปัญหานี้จะแก้ไขยังไงครับ.."


ทุกท่านเห็นปัญหาหรือยังครับ...ตรงนี้มีทั้งหมด 3 ปัญหาตามนี้...
1 ..ต้องแก้ปัญหาได้โดยประหยัด
2 ..ละเลยพื้นฐานทางเทคนิค
3 ..ถามไม่ตรงประเด็น


ลองมาดูกันทีละปัญหานะครับ...

1..ต้องแก้ปัญหาได้โดยประหยัด - งานไฮดรอลิคก็เหมือนเรื่องอื่นๆ ฝรั่งเค้าว่า you get what you pay การออกแบบโดยอิงกับราคาอย่างเดียว (โดยเฉพาะเมื่อคุณไม่รู้ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่!!!) มักจบลงด้วยการเหลือของที่มีไม่มีประโยชน์เป็นตันๆ แน่นอนว่ามีผู้ใช้ที่ไม่รู้ว่าจะใช้อุปกรณ์ไฮดรอลิคแบบไหนที่จะเหมาะสมกับงาน และมีผู้สร้างอุปกรณ์ไฮดรอลิคมากมายที่พลิกแพลงใช้อุปกรณ์ที่ไม่เหมาะสมเหล่านั้นด้วยเหตุผลต่างๆมากมาย

2..ละเลยพื้นฐานทางเทคนิค - ถ้าคุณต้องการสร้างเครื่องจักรอะไรสักอย่างโดยเน้นที่ราคาถูกเป็นหลักและต้องใช้งานได้ คุณต้องรู้ว่าคุณกำลังทำอะไร..อะไรตัดทิ้งได้ อะไรต้องเอาไว้ มันยากที่จะปรับปรุงให้ระบบไฮดรอลิคที่เรากำลังพูดกันอยู่นี้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้ ลองดูกันอย่างคร่าวๆนะครับ

GEAR PUMP -อุปกรณ์ที่ก่อให้เกิดความร้อน
SPOOL-TYPE FLOW DIVIDER -อุปกรณ์ที่ก่อให้เกิดความร้อน
VARIABLE FLOW CONTROL (S) -อุปกรณ์ที่ก่อให้เกิดความร้อน
PILOT-OPERATED RELIEF VALVE -อุปกรณ์ที่ก่อให้เกิดความร้อน

จำไว้เลยว่าอุปกรณ์ในระบบไฮดรอลิคส่วนใหญ่ก่อให้เกิดความร้อนแทบทั้งนั้น แต่มีอุปกรณ์บางอย่าง,บางแบบโครงสร้าง  ที่จะทำให้เกิดความร้อนอย่างมาก ซึ่งถ้าเราเอาอุปกรณ์เหล่านี้มารวมกันในระบบของเราต้องแน่ใจว่าเรามีระบบระบายความร้อนที่ใหญ่จริงๆ ซึ่งราคาก็จะไม่ถูกแน่นอน

3..ถามไม่ตรงประเด็น - ปัญหานี้คิดว่าผู้ถามรู้อยู่แล้วว่าความร้อนที่สูงผิดปรกติ เกิดจากการเลือกใช้อุปกรณ์โดยอิงราคาเป็นหลัก เพราะฉะนั้นคำถามที่ว่า " ผมจะลดอุณหภูมิเครื่องจักรให้เป็นปรกติ โดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม หรือจ่ายนิดหน่อยได้ยังไงครับ.." ก็ไม่ตรงประเด็น ต้นเหตุเกิดจากการเลือกใช้อุปกรณ์โดยไม่คำนึงถึงกฏพื้นฐานทางเทคนิคทั้งทางไฮดรอลิค และฟิสิกส์


ถ้างั้นคำตอบคืออะไร....เราต้องออกแบบชุดต้นกำลังใหม่โดยใช้ปั๊มลูกสูบแบบปรับอัตราการไหลได้เป็นหลัก (VARIABLE DISPLACEMENT PISTON PUMP) ซึ่งแน่นอนว่าเครื่องจักรจะทำงานได้ง่ายขึ้นความร้อนในระบบก็จะปรกติ และในระยะยาวการบำรุงรักษาก็จะถูกกว่าแบบเดิมแน่นอน ส่วนเรื่องราคาชุดต้นกำลังแบบลูกสูบนี้คิดว่าคงแพงกว่าแบบเดิมไม่เกิน 15-20 เปอร์เซ็นต์




------------------------------------------------------------------------
ติดตามต่อ : การหาซื้อปั๊มหรือมอเตอร์ไฮดรอลิคยี่ห้ออื่นทดแทน
เปลี่ยนอุปกรณ์โดยซื้อตรงจากบริษัทที่ขายอุปกรณ์
------------------------------------------------------------------------

คุณเคยทำข้อผิดพลาดเหล่านี้บ้างหรือไม่ ?


บทเรียนราคาแพง 6 ข้อ ของผู้ใช้งานไฮดรอลิค

บทเรียนที่ 1... การเปลี่ยนน้ำมันไฮดรอลิค
มีเงื่อนไขที่สำคัญในการเปลี่ยนน้ำมันไฮดรอลิคอยู่แค่ 2 ข้อ ถ้าคุณเปลี่ยนโดยนับจากชั่วโมงทำงาน หรือ
เปลี่ยนเมื่อพบน้ำหรือเศษโลหะปนอยู่ในน้ำมัน นั่นหมายถึงคุณกำลังเทเงินในกระเป๋าออกไปพร้อมๆกัน


บทเรียนที่ 2... การเปลี่ยนกรองไฮดรอลิค
สำหรับกรองไฮดรอลิคก็เหมือนกัน ถ้าคุณเปลี่ยนตามระยะเวลาทำงานคุณจะพบว่าคุณเปลี่ยนเร็วไป หรือ
ไม่ก็ช้าเกินไป, ถ้าเปลี่ยนเร็วไปคุณก็แค่เสียเงินอย่างไม่จำเป็น แต่ถ้าเปลี่ยนช้าไป คุณอาจจะต้องเสียเงิน
เพิ่มสำหรับอุปกรณ์อีกหลายๆตัวที่ชำรุด หรือมีอายุการใช้งานสั้นลง


บทเรียนที่ 3... การทำงานที่อุณหภูมิสูง
ถ้าเครื่องยนต์เกิดโอเวอร์ฮีทคุณจะยังขับต่อไปไหม? , คิดว่าคงไม่ เหมือนกันกับระบบไฮดรอลิค ความร้อน
คือปัจจัยที่ทำให้อุปกรณ์ต่างๆเสียหายได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วที่สุด รวมทั้งซีล, โอริง, สายไฮดรอลิค
และกระทั่งน้ำมันไฮดรอลิคเอง ว่าแต่คุณทราบหรือยังว่าอุณหภูมิที่เหมาะสมกับระบบไฮดรอลิคของคุณ
ต้องไม่เกินเท่าไหร่? ถ้ายังไม่ทราบคุณคงต้องจ่ายเงินเพิ่มในอนาคตอันใกล้นี้แหละ


บทเรียนที่ 4... ใช้น้ำมันไฮดรอลิคผิด
น้ำมันไฮดรอลิคเป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบ การเลือกใช้โดยคำนึงถึงราคาอย่างเดียวมักก่อให้เกิดปัญหา เนื่องจากในน้ำมันไฮดรอลิคมีคุณสมบัติสำคัญอย่างหนึ่งที่เราต้องเลือกให้เหมาะสม เพื่อให้เครึ่องจักรทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีอายุการใช้งานยาวนาน ถ้าคุณเลือกผิดคุณก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องจ่ายในราคาแพง


บทเรียนที่ 5... ติดตั้งกรองผิดตำแหน่ง
มีกรองย่อมดีกว่าไม่มีใช่ไหม? ไม่จริงเสมอไป.. มีการติดตั้งกรองไฮดรอลิคอยู่อย่างน้อย 2 จุด ที่ทำให้อุปกรณ์ที่มันปกป้องอยู่เสียหายได้อย่างรวดเร็ว ถ้ามีการติดตั้งกรองแบบนี้ในเครื่องจักรของคุณ และคุณไม่ได้กำจัดมันอย่างทันท่วงทีแล้วละก็ มันจะสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับอุปกรณ์หลักในระบบของคุณ (อย่าคิดว่าบริษัทสร้างเครื่องจักรคงไม่ทำอะไรผิดพลาดขนาดนั้น..ถ้าคุณรู้คุณจะตกใจ)


บทเรียนที่ 6... เชื่อว่าอุปกรณ์ไฮดรอลิคสามารถล่อน้ำ(PRIMING) และหล่อลื่นได้ด้วยตัวเอง
คุณคงไม่เดินเครื่องยนต์โดยไม่เติมน้ำมันในห้องเพลาข้อเหวี่ยงใช่ไหม? แน่นอนว่าไม่..แต่ถ้าคุณเชื่อว่าอุปกรณ์ไฮดรอลิคมีน้ำมันไหลผ่านอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องทำการล่อน้ำหรือหล่อลื่นขณะประกอบหรือ
ติดตั้ง ผลที่ได้ก็คือระบบอาจจะไม่ทำงานเลย หรือมันอาจจะสามารถทำงานได้ก็จริง แต่อายุการใช้งานก็จะสั้นลงอย่างมากในการประกอบอุปกรณ์ไฮดรอลิคถ้าไม่ปฏิบัติอย่างถูกต้อง คุณต้องเสียเงินค่าซ่อมอีกมาก


--------------------------------------------------------------------
ติดตามต่อ : ระบบไฮดรอลิคที่คุณไม่ต้องการ
ลองดูปัญหา และคำแนะนำแบบฝรั่ง
--------------------------------------------------------------------

ส่วนประกอบที่สำคัญในระบบไฮดรอลิคทุกระบบ



บทความนี้ขอนำเสนอคำแนะนำ 4 ข้อ ในการจัดการกับส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดในระบบไฮดรอลิค...นั่นก็คือ น้ำมัน


คำแนะนำที่ 1... กำจัดสารปนเปื้อนในน้ำมันเป็นการลดชั่วโมงการหยุดงาน
จากรายงานการทดลองพบว่า การรักษาน้ำมันให้สะอาดตามมาตรฐาน ISO 4406 24/22/19 ส่งผลให้อัตราการหยุดงานของเครื่องจักรเฉลี่ยลดลงถึง 10 เท่าเมื่อเทียบกับการใช้งานโดยทั่วไป การทดลองนี้ใช้เวลาทดลอง 3 ปี กับเครื่องจักร 117 ชนิดทั้งแบบใช้ในงานโมบาย และในโรงงานอุตสาหกรรม แล้วนำมาเทียบระหว่างความสะอาดของน้ำมันกับความถี่ในการเบรคดาวน์เครื่องจักร


คำแนะนำที่ 2... การยืดอายุให้น้ำมันไฮดรอลิค
เศษวัสดุที่ปนอยู่ในน้ำมันจะทำให้ความสามารถหล่อลื่นของน้ำมันลดลง และส่งเสริมให้น้ำมันเกิดการรวมตัวกับออกซิเจนในอากาศ (OXIDATION) ส่งผลให้คุณสมบัติพิเศษต่างๆ จะถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว การสึกหรอของชิ้นส่วนต่างๆ ในระบบที่เกิดจากการขัดสี ก็สามารถเร่งให้เกิดปฏิกิริยาดังกล่าวด้วยเช่นกัน


คำแนะนำที่ 3... ควบคุมอุณหภูมิเอาไว้
ทุกๆองศาที่เพิ่มขึ้นของน้ำมันไฮดรอลิค จะทำลายสาร ADDITIVE ที่ผสมในน้ำมันลงอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเพิ่มอัตราการเกิด OXIDATION อีกด้วย  ซึ่งผลที่ได้จากการนี้ก็คือ  สารข้นเหนียวคล้ายโคลน  ซึ่งมักไปติดที่สปูลวาล์ว (SPOOL VALVE) ทำให้วาล์วติดขัด และเป็นสาเหตุที่ทำให้กรองอุดตันอีกด้วย


คำแนะนำที่ 4... อย่าเปลี่ยนน้ำมันง่ายๆ, กรองมันดีกว่า!!!
โดยปรกติน้ำหรือเศษวัสดุที่ปนอยู่ในน้ำมัน แทบจะไม่ทำให้คุณสมบัติของน้ำมันเปลี่ยนแปลงเลย กรองมันบ่อยๆดีกว่า การกรองเอาสารที่ปนอยู่ในน้ำมันออกจะช่วยยืดอายุของน้ำมัน และชะลอการเสื่อมสภาพของสาร ADDITIVE ด้วย

ส่วนวิธีการกรองที่เหมาะสมเราจะมาคุยกันในบทความต่อไป



--------------------------------------------------------------------
ติดตามต่อ : คุณเคยทำข้อผิดพลาดเหล่านี้บ้างหรือไม่ ?
บทเรียนราคาแพง 6 ข้อ ของผู้ใช้งานไฮดรอลิค
--------------------------------------------------------------------

เทอร์โมเซตติง (THERMOSETTING) คืออะไร..



เทอร์โมเซตติง

 โพลิเมอร์ประเภทเทอร์โมเซทแตกต่างจากเทอร์โมพลาสติกที่โครงสร้างเป็นร่างแหหรือเกิด
การเชื่อมโยงกันระหว่างโมเลกุล ซึ่งอาจเป็นผลจากปฏิกิริยาเคมีหรือความร้อน โครงสร้างร่างแห(cross links) จำกัดการเคลื่อนไหวของโมเลกุลโพลิเมอร์ และเมื่อได้รับความร้อนมักจะเสื่อมสภาพ โดยไม่สามารถอ่อนตัว หรือหลอมได้ใหม่ สมบัตนี้ทำให้การนำเทอร์โมเซทกลับมาใช้ใหม่เป็นไปได้ยาก แม้ว่าปัจจุบันจะมีการวิจัยและพัฒนาด้านรีไซเคิลเทอร์โมเซท มากขึ้นก็ตาม

            พลาสติกเทอร์โมเซทได้แก่ ฟินอลิคเรซิน อิพอกซี และโพลิยูรีเทน เป็นต้น พลาสติกหรือเรซินเหล่านี้จะใช้งานหรือผ่านขั้นตอนขึ้นรูป    ในรูปของเหลวที่มีความหนืดต่ำสามารถไหลไปตามแบบหรือแม่พิมพ์ได้ จากนั้นเรซินจะถูกบ่มโดยความร้อนหรือปฏิกิริยาเคมีทำให้เกิดการแข็งตัว เทอร์โมเซทอีกประเภทหนึ่งที่มีความสำคัญมาก คือ อิลาสโตเมอร์ได้แก่ ยางวัลคาไนซ์ ยางสังเคราะห์
และเทอร์โมพลาสติกอิลาสโตเมอร์

            เทอร์โมเซทมักจะต้องการเวลาเพื่อการแข็งตัวมากกว่าเทอร์โมพลาสติก และอาจต้องมีการตกแต่งหลังจากขึ้นรูป แต่สมบัติที่น่าสนใจคือ การหดตัวหลังขึ้นรูปที่น้อยกว่า และสมบัติความทนต่อความร้อนและสารเคมีที่สูงกว่าเทอร์โมพลาสติก

1.โพลียูรีเทน
            โพลียูรีเทนเป็นโพลีเมอร์ที่ประกอบไปด้วยหน่วยย่อยๆของ [-R-OOCNH-R'-]n โดย R และ R' คือกลุ่มแอลคิลที่แตกต่างกัน กลุ่มแอลคิลก็คือกลุ่มของโมเลกุลที่ได้มาโดยการนำอะตอมของไฮโดรเจนของไปจากแอลเคน ซึ่งเป็นไฮโดรคาร์บอนที่ประกอบไปด้วยพันธะเดี่ยวของคาร์บอน
เรซินโพลียูเรเทนส่วนใหญ่จะสร้างพันธะเชื่อมกันระหว่างโมเลกุล และดังนั้นจึงเป็น
เทอร์โมเซตติงพลาสติก แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีเรซินโพลียูรีเทนบางชนิดมีการจัดเรียงโมเลกุลเป็นแนวโดยที่ไม่มีการเชื่อมต่อกัน จึงได้เป็นเทอร์โมพลาสติกแทน โมเลกุลของเทอร์โมเซตติงโพลียูรีเทน
จะเชื่อมต่อกันกลายเป็นโมเลกุลใหญ่เดี่ยวๆ เทอร์โมเซตติงโพลียูรีเทนมีการใช้อย่างกว้างขวางในหลายรูปแบบ คือโฟมอ่อนและโฟมแข็ง โฟมโพลียูรีเทนอ่อนเซลล์เปิดจะใช้ในการทำเบาะ ฟูก และหีบห่อ ส่วนโฟมโพลียูรีเทนแข็งจะใช้เป็นฉนวนในตู้เย็น เครื่องแช่แข็ง และบ้าน โมเลกุลของ
เทอร์โมพลาสติกโพลียูรีเทนมีโครงสร้างโมเลกุลที่เป็นแนวยาว และเป็นผลึกอย่างสูง ซึ่งทำให้เป็นวัสดุที่ทนต่อการถลอก เทอร์โมพลาสติกโพลียูรีเทนได้รับการขึ้นรูปเป็นพื้นรองเท้า กันชนรถยนต์ ประตู ฯลฯ

2.ฟีนอลิคส์
            เรซินฟีนอลิค (ฟีนอล-ฟอร์มาลดีไฮด์) เป็นโพลีเมอร์รุ่นแรกๆที่มีการผลิตขึ้น ซึ่งเริ่มหาได้ใน
เชิงพาณิชย์ในปี 1910 ฟีนอลิคส์ในปัจจุบันนี้เป็นเทอร์โมเซตติงพลาสติกที่มีการผลิตอย่างแพร่หลาย โดยการทำฟีนอล (C6H5OH) มาทำปฏิกิริยากับฟอร์มาลดีไฮด์ (HCOH) พลาสติกฟีนอลิคแข็ง แข็งแรง ไม่เสียค่าใช้จ่ายมากในการผลิต และเป็นตัวต้านทานไฟฟ้าอย่างยอดเยี่ยม เรซินฟีนอลิค
จะสร้างพันธะเชื่อมกันเมื่อได้รับความร้อนและความดันในกระบวนการข้นรูป กระดาษหรือผ้าเรซินฟีนอลิคสามารถนำไปเคลือบผลิตภัณฑ์ต่างๆได้มากมาย เช่น แผงวงจรไฟฟ้า เรซินฟีนอลิคยังนำไปผ่านกระบวนการ compression molding เพื่อขึ้นรูปเป็นสวิทช์ไฟฟ้า กระทะ แผ่นความร้อนและที่จับเตารีด โครงวิทยุและโทรทัศน์ และฐานเครื่องปิ้งขนมปัง

3.เมลามีน-ฟอร์มาลดีไฮด์ และยูเรีย-ฟอร์มาลดีไฮด์
            เรซินยูเรีย-ฟอร์มาลดีไฮด์ (UF) และเมลามีน-ฟอร์มาลดีไฮด์ (MF) ประกอบไปด้วยโมเลกุลที่สร้างพันธะเชื่อมกันกลายเป็นพลาสติกที่ใสและแข็ง สมบัติของเรซินยูเอฟและเอ็มเอฟคล้ายกับสมบัติของเรซินฟีนอลิค ดังที่ชื่อได้บอกไว้ เรซินทั้งสองตัวนี้ได้จาก condensation polymerization ระหว่าง
ยูเรีย (H2NCONH2) กับเมลามีน (C3H6N6) หรือฟอร์มาลดีไฮด์ (CH2O) ตามลำดับ
            เรซินเมลามีนฟอร์มาลดีไฮด์สามารถขึ้นรูปได้ง่ายในเครื่อง compression molding และ special injection molding พลาสติกเอ็มเอฟสามารถทนความร้อนได้มากกว่า กันรอยขีดข่วนได้มากกว่า และเป็นรอยด่างได้น้อยกว่ายูเรียฟอร์มาลดีไฮด์ เรซินเอ็มเอฟจะใช้ในการผลิตเครื่องครัว ส่วนประกอบอิเล็กทรอนิคส์ เครื่องเรือนไม้อัดเคลือบ และติดชั้นของไม้ให้กลายเป็นไม้อัด
            เรซินยูเรียฟอร์มาลดีไฮด์จะใช้ในผลิตภัณฑ์เช่น ปุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่จับมีด และจาน นอกจากนั้นแล้ว เรซินยูเอฟจะใช้ทำเสื้อผ้าที่มีสมบัติ drip-dry (แห้งเร็วและไม่ยับเมื่อแขวนตาก) และ wash-and-ware (แห้งเร็วและไม่ต้องรีดหรือรีดเพียงเล็กน้อยก็นำมาใส่ได้เลย) รวมทั้งใช้ในการยึดติดเศษไม้เข้ากับแผ่นไม้เพื่อทำเป็นไม้อัด

4.โพลีเอสเตอร์ไม่อิ่มตัว
           โพลีเอสเตอร์ไม่อิ่มตัว (Unsaturated polyesters - UP) อยู่ในกลุ่มของโพลีเอสเทอร์
โพลีเอสเทอร์ประกอบด้วยโซ่คาร์บอน [-OOC-C6H4-COO-CH2-CH2]n โพลีเอสเตอร์ไม่อิ่มตัวจะสร้างโมเลกุลเชื่อมโมเลกุลระหว่างกันหากนำมาโคโพลีเมอไรซ์ (สร้างโพลีเมอร์ร่วมกับ) ฟสารอินทรีย์มีกลิ่นที่ชื่อว่า สไตรีน เรซินโพลีเอสเตอร์ไม่อิ่มตัวปกติจะถูกผสมกับเส้นใยแก้วเพื่อเพิ่มความแข็งแรง
เรซินเหล่านี้เป็นจะเตรียมไว้เป็น bulk molding compound (BMC) และ sheet molding compound (SMC) สารประกอบทั้งสองชนิดอาจจะเสริมด้วยใยแก้วและสารเพิ่มเติมอื่นๆ เอสเอ็มซีจะอยู่ในรูปของแผ่นพลาสติกขนาดใหญ่หรืออาจจม้วนอยู่ซึ่งจะนำไปขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์เช่นพื้นห้องน้ำ ลำเรือเล็ก และวัสดุทำหลังคา บีเอ็มซีจะเป็นก้อนพลาสติกขนาดใหญ่เพื่อเตรียมเข้ากระบวนการ
compression molding เป็นตัวถังรถและส่วนประกอบรถยนต์อื่นๆ

5.อีพอกซี่
            เรซินอีพอกซี่ (Epoxy - EP) ได้ชื่อมาจากกลุ่มอีพอกไซด์ (cyclic-CH2OCH คำว่า cyclic หมายถึงกลุ่มนี้เป็นโมเลกุลรูปห่วงสามเหลี่ยม) ที่ต่ออยู่ท้ายโมเลกุล ออกซิเจนที่อยู่ในโซ่คาร์บอนและกลุ่มอีพอกไซด์ที่อยู่ที่ปลายโซ่คาร์บอนทำให้เรซินอีพอกซี่มีสมบัติที่เป็นประโยชน์มายมาย อีพอกซี่เหนียว ทนต่อการสึกกร่อนมาก และไม่หดตัวระหว่างที่แห้งตัว พันธะที่เชื่อมกันระหว่างโมเลกุล
ของอีพอกซี่จะเกิดขึ้นเมื่อตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้แข็งได้ใส่ลงไปทำให้ได้เป็นโครงร่างตาข่ายโมเลกุลสามมิติ เพราะว่าความแข็งแรงของพันธะ เรซินอีพอกซี่จึงใช้เป็นที่เคลือบผิว และสารยึดติด อีพอกซี่มีการใช้งานที่สำคัญในอุตสาหกรรมยานอวกาศ ส่วนประกอบอากาศยานทั้งหมดทำจากอีพอกซี่
อีพอกซี่ใช้ทำผิวปีกของเครื่องบินรบเอฟ-18 และเอฟ-22 รวมทั้งเป็น horizontal stabilizer ของเครื่องบินรบเอฟ-16 และเครื่องบินทิ้งระเบิดบี-1 นอกจากนั้นแล้ว เกือบยี่สิบเปอร์เซนต์ของน้ำหนักเครื่องบินเจ็ทแฮร์เรียร์มีการเสริมรอบตัวถังด้วยกาวอีพอกซี่ เนื่องจากความสามารถในการทนต่อสารเคมีของอีพอกซี่และสมบัติในการเป็นฉนวนที่เยี่ยมยอด ส่วนประกอบอิเล็กทรอนิคส์เช่น เครื่องถ่ายทอดภาวะกระแสไฟฟ้า (relay) คอยล์ รวมทั้งหม้อแปลงก็มีฉนวนเป็นอีพอกซี่

6.Reinforced Plastics
            Reinforced plastics หรือที่เรียกว่าคอมโพสิท เป็นพลาสติกที่เสริมความแข็งด้วยเส้นใย เกลียวเชือก ผ้า หรือวัสดุอื่นๆ เรซินเทอร์โมเซตติงอีพอกซี่และเรซินโพลีเอสเตอร์ปกติใช้เป็นกาว
โพลีเมอร์ในคอมโพสิท เนื่องจากความแข็งแรงและความง่ายในการหา เส้นใยแก้วจึงใช้เป็นวัสดุเสริมที่ใช้อย่างแพร่หลาย เส้นใยสังเคราะห์อินทรีย์เช่น aramid (โพลีเอไมด์มีกลิ่นที่รู้จักกันในเครื่องหมายการค้า Kevlar) ซึ่งมีความแข็งแรงและแข็งมากกว่าเส้นใยแก้ว แต่ก็แพงกว่าเช่นกัน
เครื่องบินโบอิ้ง 777 นำคอมโพสิทน้ำหนักเบาไปใช้อย่างมาก ผลิตภัณฑ์อื่นๆที่ทำจากคอมโพสิทก็เช่น ลำเรือ ตัวถังรถ ไม้เทนนิส ไม้กอล์ฟ และเจ็ทสกี

เทอร์โมพลาสติก (THERMOPLASTIC) คืออะไร...



เทอร์โมพลาสติก

            วัสดุประเภทเทอร์โมพลาสติกจะอ่อนตัวและหลอมเหลวเมื่อได้รับความร้อนและจะแข็งตัวเมื่อทำให้เย็นลง พลาสติกที่แข็งตัวแล้วสามารถนำมาหลอมซ้ำได้ด้วยความร้อนเทอร์โมพลาสติกจึงเป็นวัสดุที่มีสมบัติเหมาะสมสำหรับการขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ด้วยเทคนิคพื้นฐาน เช่น การฉีด การอัดรีด หรือการปั่นเป็นเส้นใย นอกจากนี้  สมบัติของเทอร์โมพลาสติกที่นำมาหลอมใหม่และขึ้นรูปซ้ำได้ทำให้เกิดประโยชน์จากการใช้วัสดุเศษหรือของเสียจากการผลิต โดยการนำเศษพลาสติกหรือของเสียมาบดและผสมใช้กับเรซินใหม่ อย่างไรก็ดี ข้อควรระวังคือพลาสติกที่ผ่านกระบวนการที่มีความร้อนหลายครั้งสามารถเสื่อมสภาพ หรือทางเทคนิคเรียกว่า Degradation ดังนั้นการนำพลาสติกกลับมาใช้ใหม่ควรใช้ผสมในสัดส่วนที่พอเหมาะเท่านั้น สำหรับผลิตภัณฑ์บางประเภทที่ต้องการสมบัติพิเศษ
(ทางแสง) ควรระวังเรื่องความสะอาดของวัตถุดิบและสิ่งเจือปน เช่น เลนส์ไฟรถยนต์ การใช้วัสดุที่ผ่านกระบวนการผลิตมาแล้วอาจกระทบต่อสมบัติของผลิตภัณฑ์ได้มาก โพลิเมอร์ประเภทเทอร์โมพลาสติกอาจได้จากการสังเคราะห์แบบรวมตัว (addition) หรือควบแน่น condensation ซึ่งเป็นพลาสติกที่ใช้งานทั่วไป ได้แก่ PE, PP, PET, nylon, และ PMMA เป็นต้น

1. โพลีเอทิลีน
            โพลีเอทิลีน (Polyethilene - PE) เป็นสารที่ข้นขาวโปร่งแสงซึ่งได้จากเอทิลีน (CH2=CH2)
โพลีเอทิลีนมีการผลิตขึ้นทั้งในรูปที่มีความหนาแน่นต่ำและสูง โพลิเอทิลีนความหนาแน่นต่ำ (LDPE)
มีความหนาแน่นอยู่ในช่วงตั้งแต่ 0.91 ถึง 0.93 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร โมเลกุลของ LDPE
มีแบ็กโบนคาร์บอนที่มีไซด์กรุ๊ปของคาร์บอนสี่ถึงหกอะตอมติดกับแบ็กโบนหลักอย่างสุ่มๆ LDPE
มีการใช้อย่างกว้างขวางเพราะว่าไม่แพง ยืดหยุ่นได้ ทนทานมากและทนต่อสารเคมี LDPE ถูกขึ้นรูปเป็นขวด หีบห่ออาหาร และของเล่น โพลีเอทิลีนความหนาแน่นสูง (HDPE) มีความหนาแน่นอยู่ใน
ช่วงตั้งแต่ 0.95 ถึง 0.97 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร โมเลกุลของ HDPE จะมีแบ็กโบนคาร์บอนที่ยาวมากแต่ไม่มีไซด์กรุ๊ป ผลก็คือ โมเลกุลเหล่านี้เชื่อมกันอย่างแน่นหนามากขึ้น HDPE แข็งแรงกว่า แข็งกว่า และโปร่งแสงน้อยกว่าโพลีเอทิลีนความหนาแน่นต่ำ HDPE ใช้ทำถุง ถังน้ำมันรถ หีบห่อและท่อน้ำ
2.โพลีไวนิลคลอไรด์
            โพลีไวนิลคลอไรด์ (Polyvinyl Chloride - PVC) เตรียมได้จากสารอินทรีย์ที่ชื่อว่า
ไวนิลคลอไรด์ (Ch2=CHCl) มีการใช้พีวีซีทำอะมอร์ฟัสพลาสติกอย่างกว้างขวาง พีวีซีมีน้ำหนักเบา ทนทานและกันน้ำได้ อะตอมของคลอรีนที่สร้างพันธะกับแบ็กโบนคาร์บอนในโมเลกุลของพีวีซีทำให้ตัวมันเองมีความแข็งและทนไฟได้ ในรูปที่แข็งตัน พีวีซีจะทนต่อการสึกกร่อนและนำไปทำท่อน้ำ ขอบบ้าน และรางน้ำ พีวีซีแข็งตันยังสามารถนำไปเป่าขึ้นรูปเป็นขวดใสและเครื่องอุปโภคบริโภคอื่นๆ เช่น
คอมแพคดิสค์และเคสคอมพิวเตอร์ พีวีซีสามารถทำให้อ่อนได้ด้วยสารเคมีบางชนิด รูปที่อ่อนของพีวีซีจะใช้เป็นหีบห่ออาหาร ชุดกันฝน พื้นรองเท้า ขวดแชมพู กระเบื้องปูพื้น ถุงมือ เบาะ และอื่นๆ ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ทำจากพีวีซีอ่อนจะผลิตโดยกระบวนการ extrusion, injection molding
และ casting
3.โพลีโพรพิลีน
            โพรลีโพรพิลีนเกิดขึ้นโดยสารประกอบโพรพิลีนและมีกลุ่มเมทิล (CH3) เชื่อมติดกับทุกอะตอมของคาร์บอนในโมเลกุลของแบ็คโบน เพราะว่ารูปปกติของโพลีโพรพิลีนมีกลุ่มเมทิลเหล่านี้อยู่ ทำให้ตัวโมเลกุลจัดเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบและแน่นหนา และทำให้เทอร์โมพลาสติกชนิดนี้มีความทนทานและทนต่อสารเคมี ผลิตภัณฑ์โพลีโพรพิลีนต่างๆ ก็เช่น เชือก เส้นใย กระเป๋าเดินทาง อุปกรณ์ลอยน้ำต่างๆ และสไตโรโฟม
4.โพลีเอทิลีน เทเรฟทาเลท
            โพลีเอทิลีน เทเรฟทาเลท (Polyethylene Terephtalate - PET) ได้จากปฏิกิริยาของกรด
เทเรฟทาลิค (HOOC-C6H4-COOH) และเอทิลีนไกลคอล (HOCH2-CH2OH) ซึ่งทำให้ได้โมโนเมอร์ของ พีอีทีมา โมเลกุลของเอทิลีนจัดเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบมาก ทำให้กลายเป็นวัสดุที่แข็งแรงและทนต่อการถลอกซึ่งจะใช้ผลิตฟิล์มและเส้นใยโพลีเอสเตอร์ พีอีทีจะผลิตโดยกระบวนการ injection molding ให้เป็นที่ปัดน้ำฝน เกียร์ รอก และถาดอาหาร พลาสติกชนิดนี้ยังใช้ทำสิ่งทอหลายยี่ห้อเช่น Dacron, Fibre V, Fortrel และ Kodel ฟิล์ม พีอีทีที่แข็งและใส (ภายใต้เครื่องหมายการค้า Mylar)
จะเคลือบด้วยสารแม่เหล็กเพื่อที่จะใช้ทำเทปอัดเสียงและวีดีโอ
5.อะครีโลไนไทรล์ บิวทาดิอีน สไตรีน ฃ
            อะครีโลไนไทรล์ บิวทาดิอีน สไตรีน (Acrylonitrile butadiene styrene - ABS) สร้างขึ้นโดยใช้โพลีเมอร์สองชนิดก็คือ อะครีโลไนไทรล์ (CH2CHCN) และสไตรีน (C6H5CH=CH2) ซึ่งจะนำมาละลายในยางโพลีบิวทาดิอีน (-CH=CH-CH=CH-)n แล้วโมโนเมอร์เหล่านี้ก็กลายเป็นโซ่โพลีเมอร์โดยเชื่อมติดกับโมเลกุลของยาง
ข้อดีของเอบีเอส      ก็คือวัสดุนี้จะรวมความแข็งและแข็งแรงของอะครีโลไนไทรล์และสไตรีน กับความเหนียวของยางโพลีบิวทาดิอีน แม้ว่าราคาของเอบีเอสที่ผลิตออกมาจะแพงกว่าโพลีสไตรีนถึงเกือบสองเท่า เอบีเอสก็นับได้ว่าเป็นเลิศในความแข็ง ความแวววาว ความเหนียว และสมบัติในการเป็นฉนวน พลาสติกเอบีเอสจะผลิตโดยวิธีการ injection molding เพื่อทำโทรศัพท์ หมวกนิรภัย เครื่องปั่นในเครื่องซักผ้า และข้อต่อท่อน้ำ และผลิตโดยวิธี thermoforming เพื่อทำกระเป๋าเดินทาง รถกอล์ฟ ของเล่น และโครงรถ เอบีเอสยังได้ผ่านกระบวนการ extrusion เพื่อทำท่อน้ำ เพราะว่าข้อต่อสามารถเชื่อมให้สนิทกันด้วยตัวทำละลาย
6.โพลีเมทิล เมทาคริเลท
            โพลีเมทิล เมทาคริเลท (PMMA) รู้จักกันในชื่อของอะครีลิค เกิดจากสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่ชื่อว่าเมทิล เมทาคริเลท (C4O2H8) พีเอ็มเอ็มเอเป็นวัสดุที่ใสที่สุดเพราะว่าโมเลกุลมีการจัดเรียงตัวแบบอะมอร์ฟัส ผลก็คือ เทอร์โมพลาสติกชนิดนี้ใช้ทำเลนส์สายตา กระจกหน้าเครื่องบิน หน้าต่างหลังคา และป้ายโฆษณา ผลิตภัณฑ์พีเอ็มเอ็มเอยี่ห้อที่เป็นที่คุ้นหูคุ้นตาก็เช่น Plexiglas, Lucite และ Acrylite เพราะว่าพีเอ็มเอ็มเอสามารถเข้ากระบวนการ casting เพื่อให้ได้พลาสติกที่เทียบเท่ากับหินอ่อน แล้วก็ใช้ทำอ่าง ฯลฯ

7.โพลีเอไมด์
            โพลีเอไมด์ (Polyamide - PA) หรือที่รู้จักกันในเครื่องหมายการค้าว่า Nylon ซึ่งเป็นโมเลกุลที่เป็นระเบียบอย่างมาก ทำให้มีความทนต่อแรงตึงสูง โพลีเอไมด์บางชนิดได้จากปฏิกิรียาระหว่าง
กรดไดคาร์บอกซีลิคและไดเอไมน์ (โมเลกุลคาร์บอนที่มีไอออนของ NH2 เกาะอยู่ที่ปลายแต่ละข้าง) เช่น ในไนลอน-6,6 และไนลอน-6,10 (เลขด้านหลังสองตัวหมายถึงจำนวนคาร์บอนอะตอมที่ได้จาก
ไดเอไมน์และกรดไดคาร์บอกซีลิคตามลำดับ) ไนลอนชนิดอื่นๆ จะผลิตโดยกระบวนการ condensation polymerization ของกรดอะมิโนสองชนิด      
            โพลีเอไมด์มีสมบัติเชิงกล เช่น ความทนต่อการถลอก สัมประสิทธิ์ของความเสียดทานน้อย และความทนต่อแรงตึงเทียบได้กับอะลูมิเนียมอัลลอยที่อ่อนกว่า เพราะฉะนั้น ปกติไนลอนจึงใช้ในการทำงานเชิงกลต่างๆ เช่น เกียร์ และ bushing (ปลอกโลหะสำหรับลดผลจากการเสียดสีของอุปกรณ์ในเครื่องจักรหรือลดเส้นผ่านศูนย์กลางของรู) ไนลอนยังผ่านกระบวนการ extrusion molding ให้เป็น
เส้นใยหลายล้านตันทุกปี เส้นใยไนลอนที่ใช้กันอย่างแพร่หลายได้แก่ ไนลอน-6,6 และไนลอน-6 (ที่เป็นเลขเดี่ยวก็เพราะว่าไนลอนนี้เกิดขึ้นโดยกรดอะมิโนชนิดเดียว) ซึ่งนำไปใช้ทำสิ่งทอ เชือก เอ็นตกปลา แปรง ฯลฯ





****************************************************************
NEXT:  เทอร์โมเซตติง [THERMOSETTING] คืออะไร...
****************************************************************